วิธีเลือกตู้แช่เย็นให้เหมาะกับธุรกิจ
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ล้วนมี ตู้แช่เย็น เป็นหัวใจสำคัญ เพราะมันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเก็บรักษา แต่ยังช่วย สร้างภาพลักษณ์, เพิ่มยอดขาย, และควบคุมต้นทุนพลังงาน ได้ด้วย
การเลือกตู้แช่เย็นจึงควรอ้างอิงจาก ประเภทของธุรกิจ + พฤติกรรมลูกค้า + ลักษณะการจัดเก็บสินค้า มากกว่าดูแค่ “ราคา”

1. ตู้แช่ประตูเดียว (Single Door Cooler)
เหมาะกับ: ร้านกาแฟเล็ก, ร้านเบเกอรี่โฮมเมด, มินิมาร์ทชุมชน
รายละเอียดเชิงลึก:
- ความจุโดยเฉลี่ย: 8–18 คิว (150–400 ลิตร)
- ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย: 1.5–2.5 kWh/วัน (ขึ้นกับรุ่น)
- รองรับการแช่เครื่องดื่ม 150–250 ขวด
ข้อดี
- ใช้พื้นที่เพียง 60–70 ซม. กว้าง เหมาะกับร้านที่มีพื้นที่จำกัด
- ราคาซื้อเริ่มต้นถูกกว่าตู้หลายประตู (ประมาณ 12,000–25,000 บาท)
- เคลื่อนย้ายง่าย ไม่ซับซ้อนในการติดตั้ง
ข้อควรระวัง
- หากยอดขายเกิน 200 ขวด/วัน ตู้เดียวอาจไม่พอ ต้องซื้อเพิ่ม → ต้นทุนสูงระยะยาว
- มักมีระบบทำความเย็นแบบ Direct Cooling (อาจเกิดน้ำแข็งเกาะ ต้องละลายบ่อย)
2. ตู้แช่หลายประตู (Double/Triple Door Cooler)
เหมาะกับ: ร้านสะดวกซื้อ (7-Eleven, CJ, Mini Big C), ร้านอาหารขนาดใหญ่, ร้านขายส่ง
รายละเอียดเชิงลึก:
- ความจุโดยเฉลี่ย: 35–60 คิว (800–1,500 ลิตร)
- ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย: 4–8 kWh/วัน
- รองรับการแช่เครื่องดื่ม 500–1,200 ขวด
ข้อดี
- สามารถแยกสินค้าได้ชัดเจน เช่น ตู้แช่ครื่องดื่ม, นม, เบียร์, อาหารสำเร็จรูป
- ระบบกระจายความเย็นหลายจุด ทำให้คงอุณหภูมิได้เสถียรกว่าตู้เล็ก
- ประตูแต่ละบานเปิดแยก ลดการสูญเสียความเย็นเมื่อมีลูกค้าเลือกสินค้า
ข้อควรระวัง
- ต้องมีพื้นที่ร้านกว้างอย่างน้อย 2 เมตรขึ้นไป
- ราคาสูงกว่า (เริ่ม 35,000–80,000 บาท)
- หากร้านอยู่ในพื้นที่ไฟฟ้าไม่เสถียร ควรเลือกตู้ที่มีระบบป้องกันแรงดันไฟฟ้าตก (Voltage Protection)
3. ตู้แช่แข็ง (Freezer)
เหมาะกับ: ร้านขายไอศกรีม, ธุรกิจแช่แข็งเนื้อสัตว์, ร้านค้าส่งอาหารแช่แข็ง, โรงงานผลิต
รายละเอียดเชิงลึก:
- อุณหภูมิ: -18 ถึง -25°C
- ความจุ: 10–40 คิว (ขึ้นกับแบบฝาทึบ/ฝากระจก)
- ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย: 3–7 kWh/วัน
ข้อดี
- เก็บวัตถุดิบได้ยาวนานหลายเดือน
- รุ่นฝากระจก (Glass Top Freezer) ช่วยโชว์สินค้าได้ชัดเจน → เหมาะกับร้านที่ขายไอศกรีม/อาหารแช่แข็ง
- รุ่นฝาทึบเหมาะกับสต็อกหลังร้าน → ประหยัดไฟกว่า
ข้อควรระวัง
- หากเปิดปิดบ่อยเกินไป อุณหภูมิจะไม่คงที่และทำให้สินค้าเสียคุณภาพ
- ขนย้ายไม่สะดวกเพราะมีน้ำหนักมาก และต้องมีพื้นที่สำหรับการระบายความร้อน
4. ตู้แช่โชว์ (Display Cooler)
เหมาะกับ: ร้านเครื่องดื่ม, ร้านเบเกอรี่, ร้านที่เน้นการขายหน้าร้าน
รายละเอียดเชิงลึก:
- ดีไซน์กระจกใส มองเห็นสินค้าได้ทันที
- ความจุ: 10–40 คิว (ขึ้นกับจำนวนประตู)
- ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย: 2–5 kWh/วัน
ข้อดี
- กระตุ้นยอดขาย (ลูกค้าเห็นสินค้าง่าย ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น)
- มักมีไฟ LED ประหยัดไฟ เพิ่มความสว่างสินค้า
- ระบบ No Frost → ลดปัญหาน้ำแข็งเกาะ
ข้อควรระวัง
- ราคาสูงกว่าตู้เก็บสต็อกธรรมดา (เริ่มต้น 20,000–60,000 บาท)
- หากกระจกกันฝ้าไม่ได้มาตรฐาน จะเกิดหยดน้ำและบดบังสินค้า
เกณฑ์การเลือกตู้แช่เย็นที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง
- ประเภทธุรกิจ → ร้านกาแฟเล็กเลือกตู้ประตูเดียว, ร้านสะดวกซื้อเลือกหลายประตู, ร้านอาหารแช่แข็งเลือก Freezer
- ปริมาณการขายเฉลี่ยต่อวัน → คำนวณจากจำนวนสินค้าต่อวัน เช่น 300 ขวดขึ้นไปควรใช้ 2–3 ประตู
- พื้นที่ร้าน → วัดขนาดหน้าร้านและหลังร้านก่อนตัดสินใจ (เว้นที่ระบายอากาศอย่างน้อย 10–15 ซม.)
- ระบบควบคุมอุณหภูมิ → เลือก Digital Control + Inverter เพื่อความแม่นยำและประหยัดไฟ
- ค่าไฟฟ้า → ตู้เชิงพาณิชย์กินไฟมากกว่าตู้บ้าน ควรเช็กอัตรา kWh/วัน ก่อนตัดสินใจ
- บริการหลังการขาย → เลือกยี่ห้อที่มีศูนย์บริการชัดเจน รับประกันคอมเพรสเซอร์ 5–10 ปี
สรุป Insight สำหรับผู้ประกอบการ
- ถ้าเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ → เริ่มจาก ตู้ประตูเดียว ลงทุนน้อย
- ถ้าเน้นการหมุนเวียนสินค้าเร็ว เช่น ร้านสะดวกซื้อ → เลือก ตู้แช่หลายประตู
- ถ้าขายสินค้าแช่แข็ง เช่น ไอศกรีมหรือเนื้อสัตว์ → ต้องมี ตู้ Freezer
- ถ้าต้องการให้สินค้าน่าซื้อ → ลงทุนใน ตู้แช่โชว์กระจกใส
หากคุณกำลังมองหาตู้แช่เย็นสำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ตู้แช่ประตูเดียว, ตู้แช่หลายประตู, ตู้แช่แข็ง หรือ ตู้แช่โชว์ สิ่งสำคัญคือการเลือกสินค้าที่ ได้มาตรฐาน ประหยัดไฟ ทนทาน และมีบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้
ที่ TUCHILL.COM เรามีบริการ ตู้แช่ครบวงจร ครอบคลุมทุกความต้องการของธุรกิจ ตั้งแต่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ไปจนถึงร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ พร้อมข้อมูลสเปกที่ชัดเจนและการรับประกันยาวนาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าและตอบโจทย์ในระยะยาว